ข้ามไปยังส่วนเนื้อหาหลัก

นักเขียนวรรณกรรมฮากกาที่โดดเด่น – หลี่เฉียว

  • วันที่เผยแพร่:2024-11-29
นักเขียนวรรณกรรมฮากกาที่โดดเด่น – หลี่เฉียว

หลี่ เหนิงฉี李能棋 (นามปากกา หลี่เฉียว) เกิดในปี 1934ที่เมืองเหมียวลี่ เขาเป็นนักเขียนเชื้อสายฮากกา(แคะ)คนสำคัญในไต้หวัน และเป็นหนึ่งในนักเขียนนวนิยายคนสำคัญของไต้หวันที่เกิดในช่วงปี 1930  ผลงานนวนิยายของเขาเน้นการเขียนแนวสัจนิยม(เสมือนจริง)เป็นหลัก โดยเขียนถึงความเปราะบางของมนุษย์และชีวิต  มักเน้นการบรรยายถึงชีวิตประจำวันของผู้คน เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้แก่คนทั่วไป ผลงานของเขามีมากมาย ซึ่งเนื้อหางานเขียนมีความหลากหลายไม่จำเจ เขาปรับปรุงพัฒนางานเขียนอย่างต่อเนื่องและไม่ยึดติดกับแบบแผนเดิม ๆ 


เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ฐานะยากจน หลี่ มู่ฟาง李木芳 บิดาของเขานั้นต้องห่างจากบ้านเป็นเวลาหลายปีเนื่องจากเข้าร่วมในขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น ดังนั้นรายได้ของครอบครัวจึงมาจากการทำนาของมารดาเพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้ตลอดชีวิตของเขาจึงให้ความเคารพต่อมารดาเป็นอย่างมาก


เมื่อครั้งเยาว์วัย เขาถูกรังแกเพราะสถานะทางการเมืองของผู้เป็นบิดา เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในครอบครัวที่ยากลำบาก อีกทั้งต้องเผชิญกับความตายของน้องชายและน้องสาว และประสบการณ์ในวัยเด็กก็มีอิทธิพลต่อสไตล์การเขียนของเขาเป็นอย่างมาก


ในปี 1950 หลี่เฉียว สำเร็จการศึกษาสาขาวิชาการผลิตผ้าทอ จากโรงเรียนอาชีวศึกษาตอนต้นต้าหู (โรงเรียนอาชีวศึกษาต้าหู) (大湖職校)ในเขตซินจู๋ ปี 1954 ได้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยครูเมืองซินจู๋ของไต้หวัน (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา) (國立清華大學)


ในระหว่างศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยครู เขาได้มีโอกาสคลุกคลีกับปรัชญาจีนละปรัชญาตะวันตก จากประสบการณ์การอ่านเหล่านี้ ทำให้ผลงานของหลี่เฉียวแฝงไปด้วยแนวคิดทางพุทธศาสนา อีกทั้งเขายังมีความชำนาญในการนำเทคนิค บรรยายสภาวะจิตใจ อาทิ เทคนิคกระแสสำนึก เทคนิคการพูดกับตัวเองในใจ มาประยุกต์ใช้ในงานเขียนของเขาอีกด้วย


ปี 1959 หลี่เฉียว李喬ตีพิมพ์เรื่องสั้นเรื่องแรกของเขาคือเรื่อง  เรื่องเล่าของขี้เหล้า〈酒徒的自述〉  เป็นจุดเริ่มต้นอาชีพนักประพันธ์ที่ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่  “นวนิยายไตรภาคชุดคืนฤดูหนาว” 《寒夜三部曲》, “แอ่งน้ำอันขมขื่น”《苦水坑》, “ฤดูใบไม้ผลิของหลานไฉ่สยา” 《藍彩霞的春天》 และผลงานอื่น ๆ

 

ผลงาน สามบทเพลงในคืนเหน็บหนาว ซึ่งเปิดตัวในปี 1977 ถือเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของเขา เป็นนวนิยายชุดที่ประกอบด้วยนวนิยายเรื่องยาวสามเรื่อง ได้แก่  เรื่อง  “คืนอันเหน็บหนาว”《寒夜》, เรื่อง “หมู่บ้านร้าง”《荒村》,  เรื่อง “โคมไฟอันโดดเดียว”《孤燈》  เนื้อหาอิงประวัติศาสตร์ช่วงสมัยไต้หวันภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น เนื้อหาในนิยายสื่อถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของมารดา ศักดิ์ศรี ความทุกข์ทรมานของผู้คน และความรักความผูกพันต่อชาติแผ่นดิน


การแสวงหาในงานวรรณกรรมของหลี่เฉียว李喬 เริ่มต้นจากการแต่งนิยายเรื่องสั้น เขาจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการคิดค้นเทคนิคในการเขียนและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ อีกทั้งยังพยายามสร้างปรัชญาชีวิตของเขาด้วยโลกวรรณกรรมของเขา


ช่วงเวลาระหว่างปี 1962 ถึง 1977 เป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของการเขียนเรื่องสั้นของหลี่เฉียว จากนั้นเขาก็เบนความสนใจไปยังนวนิยายเรื่องยาว  เขาแบ่งนวนิยายของเขาออกเป็นสองประเภท: หนึ่งคือชุดนวนิยายที่สร้างจิตสำนึกในท้องถิ่น จิตสำนึกทางสังคม และการประท้วง อีกชุดเป็นชุดที่ควานหาความเจ็บปวด ความขมขื่นและพรรณนาถึงอารมณ์แห่งชีวิต  มุมมองทางวัฒนธรรมของหลี่เฉียวมีลักษณะพิเศษคือเน้นย้ำผู้คนและแผ่นดิน ดังนั้นเขาจึงเรียกบ้านเกิดในวัยเด็กของเขาว่า “แผ่นดินแม่” การถกประเด็นทางวัฒนธรรมของเขามีพื้นฐานมาจากจิตสำนึกแบบดั้งเดิมและมุมมองทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการสืบทอดและอนุรักษ์ไว้จากรุ่นสู่รุ่น เขามุ่งมั่นที่จะแสวงหาและสร้างระบบวัฒนธรรมแบบอิสระ และจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิม กลายเป็นส่วนย่อยหรือชายขอบของวัฒนธรรมอื่น  ผลงานวรรณกรรมและความคิดเห็นของเขาล้วนบ่งบอกถึงลักษณะส่วนรวมและความหมายแฝงทางวัฒนธรรมโดยรวมของชาวไต้หวัน


เป้าหมายสูงสุดต่อการแสวงหาทางวรรณกรรมของเขา คือการเปลี่ยนแปลงและสร้างวัฒนธรรมไต้หวันขึ้นมาใหม่ โดยการสร้าง "วัฒนธรรมใหม่ของไต้หวัน" ด้วยลักษณะที่มีความพอเพียง เป็นอิสระและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้ไต้หวันกลายเป็นประเทศสมัยใหม่ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรรมท้องถิ่นของตัวเองไว้ได้อย่างลงตัว  


ในฐานะนักเขียนนวนิยายและนักวิจารณ์วัฒนธรรมที่โดดเด่น หลี่เฉียว李喬มักจะได้รับเชิญให้ไปกล่าวสุนทรพจน์และบรรยายในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เขายังเคยเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์  โดยไม่ละความพยายามในการส่งเสริมวัฒนธรรมฮากกาและวรรณกรรมไต้หวัน


หลี่เฉียว李喬ได้รับรางวัลมากมาย ในปี 1981  เคยได้รับรางวัล วรรณกรรมอู๋ซานเหลียน ครั้งที่ 4 ในปี 1993 ได้รับรางวัลคำวิจารณ์อูหย่งฟู่ ครั้งที่ 14 ปี 1995 เขาได้รับรางวัล รางวัลความสำเร็จด้านมนุษยศาสตร์ ครั้งที่ 9 จาก มูลนิธิวัฒนธรรมและการศึกษาอเมริกันไต้หวันหวัง กุ้ยหรง (มูลนิธิไต้หวัน-อเมริกัน) ปี 2006 เขาได้รับรางวัลวรรณกรรมและศิลปะแห่งชาติครั้งที่ 10 (สาขาวรรณกรรม) จากมูลนิธิเพื่อวัฒนธรรมและศิลปะแห่งชาติ และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังเป็นนักเขียนร่วมสมัยชาวไต้หวันที่โดดเด่นเป็นที่จดจำมาก ๆ อีกด้วย