โหว เซี่ยว เสียน(侯孝賢) หรือที่รู้จักกันในนาม ผู้กำกับโหว เป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่สำคัญของภาพยนตร์ไต้หวันยุคใหม่ ผลงานที่ได้รับการยอมรับของเขา ได้แก่ ปี 1989 ภาพยนตร์เรื่อง " A City of Sadness"(悲情城市)ได้รับรางวัลสิงโตทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส ปี 1993 ภาพยนตร์เรื่อง " The Puppetmaster "(戲夢人生)ได้รับรางวัลจากคณะกรรมการตัดสิน จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ปี 2015 ภาพยนตร์เรื่อง " The Assassin "(刺客聶隱娘)ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ผู้กำกับโหว เซี่ยว เสียน(侯孝賢) ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดในวงการภาพยนตร์ไต้หวัน คือ รางวัล " AFI Life Achievement Award " ในงานประกาศผลรางวัลม้าทองคำ (金馬獎) ครั้งที่ 57 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะอันมั่นคงของเขาในวงการภาพยนตร์ไต้หวันที่ยากจะสั่นคลอนได้
ในปี 1983 เขาได้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่อง "เรื่องราวของเสี่ยวปี้"《小畢的故事》 ในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับและนักเขียนบท ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นจุดเริ่มต้นของกระแสภาพยนตร์ใหม่ของไต้หวัน ที่เน้นการถ่ายทอดเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตจริง โดยในปีเดียวกันนั้น เขาได้ร่วมกับผู้กำกับท่านอื่น ๆ เช่น ว่าน เหริน (萬仁) และ เจิง จ้วง เสียง(曾壯祥) ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง " ลูกชายของฉันคือตุ๊กตา "《兒子的大玩偶》 ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนว Melodrama เรื่องแรกที่มีบทพูดเป็นภาษาไต้หวันตลอดทั้งเรื่อง หลังจากนั้น ผู้กำกับโหวก็ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง " The Boys from Fengkuei "《風櫃來的人》ซึ่งยังคงเน้นความเป็นธรรมชาติและความสมจริง โดยนำเสนอเนื้อหาที่สะท้อนชีวิตจริงของผู้คนทั่วไป ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางการกำกับภาพยนตร์ของเขา
ผู้กำกับโหว โด่งดังในวงการภาพยนตร์ด้วยการใช้เทคนิคการถ่ายยาว ( Long Take ) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา ในภาพยนตร์เขาไม่มีบทสนทนาที่เยิ่นเย้อ และไม่ใช้ storyboard เกินจำเป็น กลับกันเขาเลือกที่จะให้ตัวละครเล่าเรื่องราวผ่านกล้องโดยตรง ให้ผู้ชมได้รับรู้จุดเปลี่ยนของเรื่องราวผ่านการกระทำและสีหน้าท่าทางของนักแสดง
นอกเหนือจากเทคนิคการถ่ายทำที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแล้ว เขามักจะนำเอาประสบการณ์ชีวิตจริงของตัวเองหรือของเพื่อน ๆ มาใช้ในการสร้างสรรค์เนื้อหาของภาพยนตร์อีกด้วย ในปี 1985 เขาได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง " The Time to Live and the Time to Die " 《童年往事》โดยใช้ประสบการณ์ชีวิตของตัวเองเป็นแกนหลักในการเล่าเรื่อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลงานอัตชีวประวัติของผู้กำกับโหว ทั้งฉากหลัง ความทรงจำต่าง ๆ ในเรื่องนี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงภูมิหลังการเติบโตของตัวเขาเอง
ภาพยนตร์เรื่อง " Dust In The Wind "《戀戀風塵》ที่เข้าฉายในปีถัดมานั้นได้ดัดแปลงมาจากเรื่องราวชีวิตจริงของ ผู้เขียนบทภาพยนตร์ คุณอู๋ เนี่ยน เจิน(吳念真)บรรยายถึงเรื่องราวของคู่รักที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก และย้ายจากชนบทเข้ามาอยู่ในเมือง เนื้อเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากสภาพแวดล้อม และด้วยเหตุนี้จึงถูกมองว่าเป็นการทำลายภาพลักษณ์เก่า ๆ ของภาพยนตร์ไต้หวันในอดีต ซึ่งเป็นแนวเกินจริง ให้เป็นภาพยนตร์รักแนว Melodrama ที่มีความสมจริง
สำหรับผู้กำกับโหวแล้ว "ความเป็นจริง" ในภาพยนตร์ก็คือการสะท้อนภาพชีวิตของคนไต้หวันอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่การถ่ายทอดภาพเหล่านั้นออกมา แต่ยังต้องทำให้ผู้ชมทุกคนเข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพเหล่านั้นด้วย เขาเชื่อว่าการทำภาพยนตร์ต้องถ่ายทอดให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวไต้หวัน เนื่องจากแต่ละพื้นที่ก็จะมีความคิดความเชื่อที่แตกต่างกัน ดังนั้นแต่ละพื้นที่จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สิ่งที่ทำให้ผู้กำกับโหวได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติคือ ภาพยนตร์ชุดไตรภาคแห่งความโศกเศร้า ซึ่งประกอบด้วย ภาพยนตร์เรื่อง " A City of Sadness " ปี 1989 เรื่อง " The Puppet master " ปี 1993 และ เรื่อง " Good Men, Good Women " ในปี 1995 ในส่วนของ " A City of Sadness " นั้นเป็นภาพยนตร์ไต้หวันเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เวนิส และเนื่องด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ยกกองไปถ่ายทำที่เมืองจิ่วเฟิ่น ทำให้เมืองจินกัวสือได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไต้หวันในขณะนั้น
นอกจากภาพยนตร์ภาษาจีนกลางแล้ว ผู้กำกับโหวก็ยังได้รับเชิญไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่ประเทศญี่ปุ่น เรื่อง " Café Lumière "《珈琲時光》และที่ประเทศฝรั่งเศส เรื่อง " Flight of the Red Balloon "《紅氣球之旅》แต่หลังจากปี 2007 เขาก็แทบจะไม่ได้สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ออกมา จนกระทั่งในปี 2015 ภาพยนตร์เรื่อง " The Assassin "《刺客聶隱娘》ก็ได้ถูกสร้างขึ้น และประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยคว้ารางวัลใหญ่ถึง 5 รางวัลในงานประกาศผลรางวัลม้าทองคำ (金馬獎)ในปีนั้น ได้แก่รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม และรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยม แล้ว ยัง ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์อีกด้วย
ตลอด 50 ปีที่ผู้กำกับโหวบุกเบิกในวงการภาพยนตร์ ผู้กำกับโหวได้มีอิทธิพลอย่างมากต่อสุนทรียศาสตร์ภาพยนตร์ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขายังทุ่มเทให้กับการส่งต่อองค์ความรู้ด้านภาพยนตร์ ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา เขาได้ดำรงตำแหน่งประธานเทศกาลภาพยนตร์ไทเปติดต่อกัน 4 สมัย ซึ่งมีเป้าหมายในการเฟ้นหาผู้กำกับภาพยนตร์หน้าใหม่ ในปี 2009 เขาได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของเทศกาลภาพยนตร์ม้าทองคำแห่งไทเป Taipei Golden Horse Film Festival (金馬影展)และมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เวทีการแข่งขันที่มีความเป็นธรรมสำหรับภาพยนตร์ภาษาจีนกลาง ในปีเดียวกันนั้น เขาได้ก่อตั้งสถาบันภาพยนตร์ม้าทองคำ Taipei Golden Horse Film Academy ขึ้น โดยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเอง มีการรับผู้กำกับภาพยนตร์ภาษาจีนกลางรุ่นใหม่เข้าร่วมหลักสูตรเวิร์คช็อประยะสั้นทุกปี เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางด้านภาพยนตร์ระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ
สำหรับผู้กำกับโหวนั้น ภาพยนตร์เป็นสิ่งที่ต้องได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก เขาเองในวัยเด็กก็ได้ดูภาพยนตร์และอ่านนวนิยายมากมาย รวมถึงนิยายกำลังภายในและนิยายรัก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมให้เขามีความสนใจในวงการภาพยนตร์มาจนถึงทุกวันนี้ เขาโปรดปรานวิธีการส่งเสริมภาพยนตร์ของฝรั่งเศส เขาเริ่มต้นจากการชมภาพจากภาพยนตร์เงียบซึ่งถือเป็นภาพที่บริสุทธิ์ เพราะว่าภาพยนตร์ที่สื่อสารด้วยภาพและตัวอักษรนั้นล้วนต้องการพื้นที่ในการจินตนาการที่ต้องได้รับการฝึกฝน